CottoN Live in UK EP 7: BICEP Trip 2015… From Island to the Continent (Belgium)…

Hi!!!

ไม่ได้อัพบล็อกมาเนิ่นนาน วันนี้ครบรอบ 2 ปีที่เดินทางจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปสู่เมืองผู้ดี จนตอนนี้กลับมาซบอกเจ้าพระยาแล้ว เรียกว่ากลับบ้านมาแล้วนั่นเอง จริงๆ ก็คิดอยู่นานว่าจะอัพเรื่องอะไรดี อะไรบ้างที่ควรเปิดเผยสู่สาธารณะชน 555 สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ว่า เรื่องนี้น่าจะหยิบยกมาเล่า มีความเป็นวิชาการบ้างอะไรบ้าง หลังจากที่บล็อกก่อนหน้าพาไปเที่ยวซะเยอะ อิอิ 🙂

บอกก่อนว่าสาขาที่เราไปเรียนคือ International Public Policy, Regulation and Competition ซึ่ง U ที่เราไปเรียนนั้น ในส่วนของสาขาเรา และสาขาอื่นที่อยู่ภายใต้ PSI (Political, Social and International Study School) ซึ่งจะมี Study Trip ประจำปีที่เรียกว่า BICEP Trip (Brussels: International Careers and Employability Programme) เป็นอะไรที่ดีงาม และคุ้มค่ามากๆ ที่ได้มีโอกาสได้เข้าร่วมทริปนี้ โดยการคัดเลือก เค้าก็จะเวียนสอบถามความสนใจ และเราเองก็ต้องเรียนอยุ่ในสาขา/วิชาที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะจัดสรรให้นักศึกษาปริญญาโทก่อนเป็นอันดับแรก สำหรับเรานั้น เราอยู่ในข่ายทั้งหมด 555 เมื่อสมัครไป ก็เลยได้ไปร่วมทริป ^^

ต่อไปนี้เราจะเล่าถึงการเดินทางตลอด 5 วันจากเกาะอังกฤษไปสู่ทวีปยุโรป และการผจญภัยในเมืองที่เต็มไปด้วย European Union (EU) ไม่ว่าจะหันซ้าย แลขวา เดินตรงไปข้างหน้า หรือกลับหลังหัน ทุกๆ ที่จะเต็มไปด้วย EU ไม่ว่าจะเป็นธง สัญลักษณ์ที่ติดตามอาคารต่างๆ แม้กระทั่งทะเบียนรถยนต์ จะว่าไปสัญลักษณ์ EU ก็เยอะพอๆ กับช็อกโกแลต และเบียร์ที่วางขายในเมืองเลย อ๊ะ อ๊ะ เขียนมาถึงตรงนี้ เพิ่งนึกได้ว่า ยังไม่ได้บอกเลยนี่นาว่าไปเมืองไหน คริคริคริ เป้าหมายการเดินทางในครั้งนี้คือ กรุง Brussels ประเทศ Belgium ศูนย์กลางของสหภาพยุโรปนั่นเอง (ที่มีข่าวโดนวางระเบิดกลางเมืองไปไม่นานนี่เอง นั่นแล… )

เอาเป็นว่ามาเริ่มการเดินทางกันเลยดีกว่าเนอะ! (พูดเองเออเองตลอดอ่ะ)

DAY 1 : ขึ้นเฟอร์รี่ข้ามเกาะ ไปขึ้นฝั่งที่เมืองน้ำหอมแล้วไปย้อนดูสนามรบและเรื่องราวสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ Ypres, Belgium

IMG_5799

ออกเดินทางจาก U ด้วยรถโค้ชแต่เช้าตรู่ เพื่อไปต่อเรือเฟอร์รี่ไปขึ้นทวีปที่ฝรั่งเศส เป็นการขึ้นเฟอร์รี่แบบจริงจังครั้งแรก ทุกคนก็แยกย้ายใช้เวลาส่วนตัวของตัวเอง เพราะเรือใช้เวลาเดินทางราวๆ เกือบชั่วโมงเห็นจะได้ แน่นอนว่ากิจกรรมแรกที่เราเลือกทำคือ หาของกิน เพราะตั้งแต่เช้าจนถึงเกือบเที่ยงที่ขึ้นเรือนั้น มีเพียงขนมปังและนมเท่านั้นที่ตกถึงท้อง เพราะฉะนั้นมื้อเที่ยงเลยจัดเต็มด้วยเซ็ท Fish & Chips อาหารประจำเกาะอังกฤษ (ที่หลายๆคนไม่ถูกจริตสักเท่าไหร่ ส่วนเราหรอ ชอบมากกกกกกกกกก) หลังจากเรียบร้อยกับอาหารแล้ว เรากับเพื่อนๆ ก็เดินหามุมถ่ายรูป ซึ่งวิวก็ ทะเล ท้องฟ้า ทะเล ท้องฟ้า มีอยู่เท่านั้นล่ะ ก็อยุ่กลางทะเลนี่นา เอ้อ ลืมบอกไป เราเป็นชนชาติไทยคนเดียวในทริปนี้นะ เพราะสาขาและคณะที่เราเรียนในรุ่นเราไม่มีเด็กไทยเลยจ้าาาา งานนี้ฉายเดี่ยวเต็มๆ ฟุตฟิตฟอไฟสปีกอิงลิชแบบ 24 ชม. จะมีหยุดก็ตอนหลับ 555

จากนั้นก็มาต่อด้วยนรถโค้ชคันเดิมที่โดยสารเรือเฟอร์รี่มาด้วยกัน จาก Calias, France มุ่งหน้าสู่ Ypres, Belgium และสถานที่แรกที่เราไปกันก็คือ…. “Hill 62” ซึ่งเป็น Battle Field ของทหารอังกฤษ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเค้าก็มีการจำลองพวกหลุมหลบภัย ทางเดินใต้ดิน และมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บซากอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในสมัยนั้นเอาไว้

IMG_5854

 

สถานที่ต่อมาคือ “The Centenary of the First World War in Western Europe” เป็นสุสานของทหารที่เสียชีวิตในสนามรบในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และในบริเวณนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์ ที่บอกเล่าเรื่องราวของเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงอัตชีวประวัติของทหารรายสำคัญๆ ที่เสียชีวิตในสงครามด้วย แต่ที่รู้สึกหดหู่ใจที่สุด คือ จดหมายสุดท้ายของทหารหลายๆ นายที่เสียชีวิตในสนามรบที่พวกเขาเขียนถึงครอบครัว และคนรัก แม้ว่าลายมือจะเป็นภาษาอังกฤษหวัดๆ และเริ่มจะเลือนลางไปตามกาลเวลาบ้างแล้ว แต่ก็พอจะอ่านจับใจความต่างๆ ได้ เราแค่มีความรู้สึกว่า

“…สงครามไม่เคยให้ผลดี… ไม่ว่าจะฝ่ายรุกราน หรือฝ่ายป้องกัน ต่างก็สูญเสีย ต่างก็เจ็บปวด เราสรรเสริญผู้กล้าหาญ ผู้เสียสละ แต่…จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะอยู่ร่วมโลกใบเล็กๆใบนี้ด้วยความสงบสุข ปราศจากการสูญเสียอันโหดร้าย ผู้ที่จากไปได้รับการยกย่อง แต่ผู้ที่มีชีวิตอยู่ แม้จะภูมิใจ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขายังคงเจ็บปวดจากการพรากจากในครั้งนั้น
…ทำไมต้องโหยหาอำนาจ ทำไมต้องใช้กำลัง และสุดท้ายทำไมต้องตัดสินกันด้วยสงคราม…”

 IMG_5873

สถานที่สุดท้ายของวัน คือ ” Last Post” เป็นโถงทางเดินที่มีการสร้างเป็นสัญลักษณ์ หรืออนุสาวรีย์สักอย่างที่อยู่ในเมือง ทุกๆ ค่ำคืน ผู้คนจะมารวมกันที่นี่ เพื่อร่วมกันสดุดีต่อทหารกล้าที่เสียชีวิตในสงคราม มีการทำพิธีต่างๆ ในแบบทหาร (คนเยอะมากจนมองไม่เห็น 555 )

IMG_5895

 DAY 2 : จาก Ypres มุ่งหน้าสู่ Brussels ศูนย์กลางของ European Union เราจะไปซับพลังของ EU กันละนะ ฟิ้ววววว

IMG_5903

 

IMG_5909

สถานที่แรกที่มุ่งหน้าไปทันทีที่มาถึง Brussels คือ “EU Parliament ” แอร๊… อยากจิบอกว่ามีเงินเป็นล้านมาเที่ยวยุโรปแกก็ไม่มีสิทธิ์เข้านะฮะที่นี่น่ะ ดีงามที่สุด คือกว่าจะได้เข้าไปข้างในอาคาร ย้ำว่าแค่ประตูหน้าตึกนี่ก็ตรวจกันแบบ จะต้องให้หนูแก้ผ้าเลยไหม (ไม่ดีมั้งงงงงงง 55) เริ่มตรวจตั้งแต่รายชื่อที่ส่งมากับ U ตอนที่แจ้งว่าจะเข้าไปทัศนศึกษาละนะ พอเสร็จจากนั้น สัมภาระทุกอย่าง เสื้อสูท (นี่แต่งตัว Smart Casual ตลอดทริปอ่ะค่ะ เพราะแต่ละที่ที่ไปนี่ ต้องเคารพสถานที่อย่างมาก) ต้องถูกถอดออก และเข้าเครื่องสแกน (เหมือนที่สนามบินนั่นล่ะ) แล้วก็เอาตัวกลมๆ ผ่านประตูสแกนเข้าไป พอผ่านไปถึงปุบ จะมีขุ่นพี่ฝรั่งขอตรวจพาสปอร์ต และก็เป็นอย่างที่เราคิดไว้ จ้องหน้าตรูอีกละ _*_ โปรดเข้าใจด้วยค่ะว่า… รูปในพาสปอร์ตมันค่อนข้างแย่ค่ะ ฮุ่ยยย เอาละ เม้ามอยหอยกาบมาหลายบรรทัดละ พอผ่านทุกอย่างมาได้ ได้เข้าไปข้างใน ก็มีคุณฝรั่งหน้าหล่อ สมาร์ท เท่ห์ ในชุดสูทที่ดูดีโฮกกกกก (อยากจะขอทำงานที่นั่นกันเลยทีเดียว) เป็นวิทยากรบรรยายให้เราฟัง จะบอกว่า ที่นี่มีความพีค พีค พีคมาก พีคสุด ภัทรศยาค่อดๆ คือ วินาทีที่เขาเปิดประตูให้ชาวคณะเราเข้าไปในนั้นคือแบบ ดีงาม อลังการ ขนลุก คือนี่คือสภาของสหภาพยุโรป ตัวแทนแต่ละประเทศจะมานั่งประชุมกันในนี้ วิทยากรรูปหล่อก็บรรยายไปว่า ในห้องกระจกรอบๆ สภานั้น มีคนที่ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาเป็นภาษถิ่นกว่า 26 ภาษา อื้อหือ นี่สินะ International (Regional) Organization แล้วเขาก็พาเราไปเข้าห้องบรรยายอีกห้อง เล่าถึงกลไกการทำงาน วัตถุประสงค์ และอะไรก็ตามที่ EU ทำ ต่างๆ นานา หมดไปครึ่งวันกับการซับพลัง EU ณ ที่แห่งนี้ แล้วเราก็ออกไปหาของกิน ก่อนที่เขาจะพาไปยังสถานที่ต่อไป อ้อ ลืมบอกไปว่า ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง U ออกให้ประมาณ 80% อีก 10% เราจ่ายเอง และ อีก 10% เป็นค่าอาหารในแต่ละมื้อที่เราต้องรับผิดชอบตัวเอง และตลอดทริปเราก็อยู่กะแก๊งกิน เที่ยว ชาวจีน และบราซิลจ้า รูมเมทเราเป็นบราซิลเชื้อสายญี่ปุ่น น่ารัก และเก่งมากๆ การคุยกะนางเป็นอะไรที่ทำให้เราได้ความรู้สุดๆ

สถานที่ต่อมาคือ “UK/EU representative” ไปนั่งฟังบรรยายการทำงานในฐานะตัวเแทนของประเทศ (อังกฤษและเครื่อสหราชอาณาจักร) แต่กว่าจะเข้าไปที่นี่ได้ก็ต้องผ่านการตรวจตราของพี่ทหารรรรรร สองนาย ที่หน้าโหดมากกก เป็นการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด คือจะบอกว่าถ้าเดินไปแล้วเจอพี่ทหารตามตึกไม่ต้องแปลกใจเลย เพราะในอาณาบริเวณนั้นของเมือง จะเต็มไปด้วยองค์กรและหน่วยงานที่สำคัญๆ ของ EU ทั้งนั้น

และวันนี้ปิดท้าย ด้วย “UEA in Brussels” เป็นสำนักงานของ U ฮะ เราก็หม่ำมื้อเย็นกันที่นี่ พอดีว่าสำนักงานสาขาตัวแทนของ U เพิ่งเปิดที่นี่ในปีที่เราไปเรียน ที่ผ่านมาคือมีแค่เจ้าหน้าที่ที่คอยประสานงานกับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในองค์การต่างๆ ของทางฝั่งยุโรป และศิษย์เก่าของ U ที่จะเป็น connection ให้กับน้องๆ ต่อไป ตอนนี้มีสำนักงานถาวร และเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว >>> https://www.uea.ac.uk/ppl/brussels เราก็แอบโฆษณาให้ U ไปอย่างเนียนๆ

Day 3: Digitaleurope // NATO Parliamentary // UNRIC

ก็เป็นองค์การต่างๆ ที่ทำงานเป็น Partner ให้กับทาง EU และองค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานเพื่อสังคมโลก หลักๆ เลย คือ Keeping peace in the world การที่ได้รู้ว่าในโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายที่ขาดโอกาส และรอคนที่จะมอบโอกาสให้ ซึ่งเราโชคดีแค่ไหนที่ได้รับโอกาสดีดี บางทีแล้วเราก็ควรจะทำอะไรเพื่อคนอื่น ให้โอกาสคนอื่นเท่าที่เราจะทำไหวบ้าง

Day 4: เขตทหารของสหภาพยุโรปและเนโต้ ไม่สามารถพกอะไรเข้าไปได้นอกจากร่างอันอ้วนกลม สิ่งที่จำได้แม่นเลย วิทยากรบอกว่า พวกเราก็เห็นแล้วว่าโลกในปัจจุบันนี้มันวุ่นวายและสับสนแค่ไหน พลังของคนรุ่นใหม่จะช่วยแก้ปัญหา และสร้างโลกใบนี้ที่พวกเขาจะต้องเติบโตต่อไป 🙂 ซึ่งก็จะลิ้งไปถึงเรื่องราวของวันสุดท้ายที่ Brussels

Day 5: ONE // SALTO-YOUTH // European Youth Forum

 

IMG_6165

ที่นี่มีองค์กรอิสระที่ดำเนินการโดยคนรุ่นใหม่ และองค์กรที่สนับสนุนโครงการที่บริหารจัดการและดำเนินการโดยคนรุ่นใหม่ พวกเขาเชื่อว่าผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่า เหมาะที่จะเป็นผู้แนะนำ และสนับสนุน ส่วนเยาวชนเป็นผู้ริเริ่มแนวคิด และความคิดแบบใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนโลกใบเดิมๆ ให้เป็นโลกใบใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม (แอบเสียดายว่าอายุเกินจะเป็นเยาวชนมาไกลมากจริงๆ)

หมดเรื่องวิชาการละ เราจะมาเข้าเรื่องเที่ยวละนะ อิอิ

แน่นอนว่ามา Brussels ทั้งที่ จะไม่ไปหาหนูน้อยเมเนเก้นพีส์ ชักภาพงามๆ ที่ กรองด์ปลาซ (Grand Palace) ได้อย่างไร และเมิ่อเรามีเป้าหมาย เราก็เริ่มเดินทางไปหาจุดหมายยย เริ่มจาก Grand Palace เราก็เริ่มเดินตามแผนที่ที่เพื่อนจีนหามา แล้วเราสองคนก็เดินกันไปเรื่อยๆ ผ่านสถานที่ต่างๆ สวยๆ ทังนั้น มีเดินผ่านสวนสาธารณะที่อยู่ระหว่าง Library ของเมืองกับ Arts Museum ตอนที่เดินผ่านฟ้ายังสว่างเลยรู่สึกเฉยๆ แต่มองจากตรงนี้มองเห็นยอด Grand Palace ไกลๆ เลยมุ่งมั่นตั้งใจเดินผ่านตลาดเข้าไปจนเจอ 5555 สวยงามมมมมม แต่คนเยอะมาก ประมาณล้านแปด หามุมที่ถ่ายรูปแลัวจะไม่ติดคนไม่ได้เลย เหอๆ เมื่อถ่ายภาพกะ Grand Palace จนพอใจแล้ว ก็ไปทำภาระกิจต่อไปคือการตามหา เมเนเก้นพีส์ ถามคนมาตามรายทาง ทุกคนพูดเหมือนกันว่า… เดี๋ยวก็เจอ ที่คนมุงเยอะๆ ใช่เลย ตรงมุมถนนข้างหน้านั้น คนมุงเยอะมากกกกกก เราก็หา ไหนล่ะ หนูน้อยยืนฉี่ คุณพระ!!! เป็นรูปปั้นตัวเล็กๆ อยู่ตรงมุมถนน บอกเลยถ้าไม่มีคนมุง ก็ไม่เห็นค่ะ _*_ นางตัวเล็กมากจริงๆ นอกจากที่นี่แล้ววันไหนที่มีเวลาเราก็เดินเล่นรอบๆ เมือง มีสถานที่สวยงามอยู่หลายจุด บางที่เดินผ่านก็ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร 555

IMG_6082

IMG_6039

แน่นอนว่า… เรื่องวิชาการก็แล้ว เรื่องเที่ยวก็แล้ว เหลือเรื่องสุดท้ายละ เรื่องกิน!!!

มีความดีงามของอาหารการกิน แต่ที่จะพูดถึงคือ ของกินลือชื่อของเบลเยี่ยม >>> เบียร์! ช็อกโกแลต! และ วาฟเฟิล! ด้วยความที่ไม่ใช่สายแอล เพราะฉะนั้น รายการแรกตัดไป 55  มาถึงสองรายการหลัง เริ่มที่วาฟเฟิลก่อนเลย ง่ายๆ เลยไม่ต้องไปหาร้านให้วุ่นวาย ร้านเล็กๆ เต็มไปหมด วาฟเฟิล ชิ้นละ 1 ยูโร + ค่าทอปปิ้งตามใจชอบ วันแรกจัดไปด้วยวิปครีมและสตรอเบอรี่ ดีงามมากกกกก อร่อย 😉 วันที่สองเลยเลือกกินแบบเพลนๆ แทน ก็อร่อยอยู่  ส่วนเรื่องของช็อกโกแลตนั้น มีร้านช็อกโกแลตโฮมเมดมากมายทั่วไป มีทุกซอย โดยเฉพาะรอบๆ กรองปลาซ สามารเลือกชม ชิม ช้อปได้ตามสบายเลย ^^

IMG_6027

IMG_6063

IMG_6069

เป็น 5 วันที่อิ่ม อิ่มมากจริงๆ อิ่มใจ อิ่มความรู้ อิ่มท้อง 55 แม้ว่าจะเป็น 5 วันที่อยู่แต่ในบรัสเซลล์ก็ตาม…

IMG_6076

 

ก็ขอปิดทริปนอกสหราชอาณาจักรครั้งแรกแต่เพียงเท่านี้ ส่วน EP หน้าจะเเป็นเรื่องอะไรนั้น ยังไม่ได้คิดฮะ รอติดตามต่อไป อิอิ ^__^

– By 100% CottoN –